วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

ความรัก คือการแค่รัก หรือการได้เป็นเจ้าของ, ความทะเยอทะยานคือความฉ้อฉลหรือไม่

มนุษย์รู้สึกภาคภูมิใจเมื่อคนใกล้ชิดมีความรู้ทางโลกทางเทคนิค เช่น ภรรยาของฉันเก่งด้านใดด้านหนึ่ง ฉันภูมิใจที่คนอื่นมองภรรยา "ของฉัน" ว่าเก่ง มีภูมิรู้

ความรู้สึกนี้คือความรู้สึกแห่งการติดยึดในความเป็นเจ้าของ ซึ่งช่วยเสริมตัวตนของผู้เป็นเจ้าของ

ทำไมเราไม่รู้สึกยินดีบ้างเมื่อคนอื่นมีความรู้ ประสบความสำเร็จ

การยึดเป็นเจ้าของ ซึ่งทำให้รู้สึกตัวตนยิ่งใหญ่ เป็นความรู้สึกยินดีด้วยความรักที่แท้จริงหรือ

การแบ่งแยกเป็น ของฉัน และ ของคุณ คือ ความรักหรือ

หรือความรัก ก็เป็นเพียง การรักเท่านั้น

นอกจากนี้การรู้สึกยินดีในความสำเร็จ ซึ่งมาจากความทะเยอทะยาน แม้จะรู้สึกโดยไม่ยึดมั่นเป็นเจ้าของ หรือแบ่งแยกเป็นของฉันของคุณก็ตาม
ถ้ายึดมั่นด้วยผู้ที่จิตมีความทะเยอทะยาน เขาก็จะยินดีว่าความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี คนอื่นประสบความสำเร็จเพราะทะเยอทะยานแล้วดี
แต่อันที่แท้ความทะเยอทะยานคือความฉ้อฉล มันสร้างความทุกข์ระทมในดวงจิตของผู้ทะเยอทะยาน เพราะมันบีบคั้นจิต เพราะจิตเช่นนี้จะแก่งแย่งชิงดี ไร้ความปรานี เอาหน้า ซึ่งก่อให้เกิดความรุนแรงในความสัมพันธ์ และในโลก ปัญหาส่วนใหญ่ในโลกก็มาจากความทะเยอทะยาน

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ร้องไห้เพื่อ "ความรัก"

เมื่อเราร้องไห้เสียใจ แล้วบอกว่าร้องไห้เพราะความรัก อันที่แท้แล้วเราร้องไห้เพราะความเห็นแก่ตัว สงสารตัวเอง หรือเพราะความรักกันแน่ ความรักทำให้เราทรมานได้ด้วยหรือ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Transcend you consciousness into love, and nothing but love

In the new style of yoga class (named Transcendas) I took on Thursday, 9 Feb 2012 with Shane, with integration of Neuro-Linguistic Programming (NLP) into yoga, I learned about the qualities I wanted to bring into and take out of my life. Shane asked to to choose one quality from The Four Perfect Virtues of Buddhism that we would like to bring into our life:
Metta - Learning to be your best friend and then also learning to be a friend to others.
Karuna - Compassion or seeing suffering in yourself and seeing suffering in others, and doing something to overcome your own suffering and the suffering of others.
Mudita - Being happy when you see others happy.
Upekkha - Having an equanimous and non-reactive mind - being equally non-reactive to ups and downs of life.

I chose Karuna - because I wanted to make my life to be of service to all lives Better . My current ways of living, though better than some others, are not good enough. So I spoke the word compassion in my mind while doing yoga poses that resembled bringing good energy into myself.

Shane also asked us to have in our minds a quality that we would like to discard from our lives/transform. In the actual class, I chose jealousy (like people with more beauty, haha), but I realize now that I want to choose "Minding others' bad treatment to me." Not that I can't retain my mind's stability when facing people saying bad to me, but sometimes I can't help feeling bad, though not too much.

And I want to transform bad treatment from others into Upekkha and love - into thinking that I might act wrongly, so I should improve; that I would never treat the same to anyone; and that everyone makes mistakes - why do you expect humans with worldly nature to be perfect? It's not about forgiving - forgiving means you hate others which must happen before you forgive them, but understanding and working towards changing inner beings of all.

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

Urgent: LOST DOG!! ด่วน: สุนัขหาย!!


!!สุนัขหาย!! สุนัข สีเหลืองทอง พันธุ์ชิวาว่าผสมมินิเอเจอร์ เพศผู้ ตัวเล็กนิดเดียว หายไปจากบ้านในหมู่บ้านเสรี รามคำแหง/พระรามเก้า เมื่อคืนวันที่ 6 มกราคม 2555 ท่านใดพบเห็นโปรดเก็บไว้ และติดต่อ 081 611 8798, 081 927 8104 ท่านใดเห็นโปรดติดต่อมาด้วยนะจ๊ะ เจ้าของกลุ้มใจมากๆ มีรางวัลให้ ขอขอบพระคุณล่วงหน้า

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อารยธรรม

แปลจากเว็บไซต์ Green Anarchy (อนารยะเขียว)

เราเชื่อว่าอานารยะเป็นประสบการณ์แห่งอิสรภาพอันสูงสุด และเป็นสภาวะธรรมชาติของเรา ก่อนอารยธรรมเกิดขึ้น และนอกขอบเขตของอารยธรรม (และอิทธิพลอันฉ้อฉลของมัน) มนุษย์เคยเป็น และกำลังเป็น อานารยะ (ด้วยขาดคำที่ดีกว่า) ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ เราดำรงชีวิตเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ซึ่งมีการตัดสินใจตัวต่อตัว โดยปราศจากสื่อกลาง ได้แก่ รัฐบาล ตัวแทน หรือแม้แต่จริยธรรมของนามธรรมที่เรียกว่าวัฒนธรรม เราสื่อสาร รับรู้ และ มีชีวิตอยู่ ในวิธีทางตรง ไร้สื่อกลาง และ ใช้สัญชาตญาณ เรารู้ว่าจะกินอะไร อะไรที่เยียวยารักษาเรา และ จะมีชีวิตอยู่รอดอย่างไร เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกรอบตัวเรา ไม่มีการแบ่งแยกโดยการสร้างขึ้นอย่างเทียมๆ ระหว่างบุคคล กลุ่ม และ ส่วนอื่นๆ ของชีวิต

ประวัติศาสตร์มนุษย์ในขอบเขตที่กว้างขึ้นนั้น เมื่อไม่นานมานี้ (บางคนบอกว่า 10 ถึง 12,000 ปีที่แล้ว) ด้วยเหตุผลที่เราทำได้เพียงคาดเดา (แต่ไม่เคยรู้จริง) การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นในการรวมกลุ่มของมนุษย์ไม่กี่กลุ่ม มนุษย์เหล่านี้เริ่มเชื่อใจในโลกน้อยลงว่าเป็น "ผู้ให้ชีวิต" และเริ่มแยกแยะระหว่างตัวพวกเขาและโลก การแบ่งแยกนี้เป็นพื้นฐานของอารยธรรม อารยธรรมไม่ได้เป็นเรื่องทางกายภาพ แม้ว่าจะมีลักษณะทางกายภาพอย่างจริงแท้ยิ่งนักในบางประการ แต่สิ่งที่มันเป็นมากกว่า คือ การกำหนดทิศทาง วิธีการคิด และ แบบแผนการคิด มันตั้งอยู่บนการควบคุมและการครอบงำโลก และชีวิตที่อาศัยบนโลก

กลไกการควบคุมหลักของอารยธรรม คือ การทำให้อยู่ในขอบเขตความควบคุมของมนุษย์ ซึ่งคือ การควบคุม การทำให้เชื่อง การผสมพันธุ์ และ การดัดแปลงชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์ (มักจะทำขึ้นเพื่อผู้ที่อยู่ในอำนาจ หรือผู้ที่ดิ้นรนเพื่ออำนาจ) กระบวนการการทำให้อยู่ในขอบเขตความควบคุมของมนุษย์เริ่มเปลี่ยนมนุษย์จากการพเนจร ไปสู่การมีชีวิตอยู่กับที่และเป็นหลักแหล่งมากขึ้น ซึ่งได้สร้างศูนย์รวมอำนาจต่างๆ (มีลักษณะเป็นผืนดินที่มีเขตแดนในลักษณะที่เคลื่อนที่บ่อยแบบที่แตกต่างออกไปมาก จากนั้นจึงครอบครองในลักษณะชั่วคราวและเป็นเขตแดนอย่างจริงแท้มากขึ้น) ซึ่งภายหลังถูกเรียกว่าเป็นทรัพย์สิน การทำให้อยู่ในขอบเขตความควบคุมของมนุษย์สร้างความสัมพันธ์แบบการครอบครองแต่เพียงผู้เดียวในพืชและสัตว์ และในท้ายที่สุดในมนุษย์คนอื่น

วิธีการคิดนี้มองชีวิตอื่น รวมถึงมนุษย์คนอื่น ว่าแปลกแยกจากผู้ควบคุม และวิธีคิดนี้ คือ เหตุผลสำหรับการกดขี่ผู้หญิง เด็ก และ สำหรับการเป็นทาส การทำให้อยู่ในขอบเขตความควบคุมของมนุษย์ เป็นพลังบีบบังคับสร้างอาณานิคมให้กับชีวิตที่ไม่ได้ถูกควบคุม ซึ่งทำให้เราอยู่ในภาวะเจ็บป่วยของสมัยใหม่ นั่นคือ การเป็นผู้ควบคุมทุกชีวิต รวมถึงโครงสร้างทางพันธุกรรมของชีวิตเหล่านั้น อย่างเด็ดขาด

ก้าวสำคัญในกระบวนการสู่ความเป็นอารยะ คือ การเดินหน้าไปสู่สังคมเกษตรกรรม เกษตรกรรมสร้างภูมิประเทศแบบควบคุมให้อยู่ในขอบเขตของมนุษย์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิด “โลกจะจัดหาให้” ไปสู่แนวคิด “เราจะผลิตอะไรขึ้นได้จากโลก” ผู้ควบคุมเริ่มทำงานต่อต้านธรรมชาติและวงจรชีวิตของเธอ และเริ่มทำลายผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติและเข้าใจเธอ เราสามารถเห็นการเริ่มต้นของการปกครองแบบมนุษย์เป็นผู้ปกครอง ณ ที่นี้ เราเห็นการเริ่มต้นของการสะสม ไม่เพียงแต่ที่ดิน แต่ยังรวมถึงพืชผลจากมัน แนวคิดเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สินส่วนเกิน ทำให้มนุษย์มีพลวัตทางอำนาจ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งได้แก่การปกครองแบบลำดับขั้นที่ถูกทำให้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และการสงครามอย่างเป็นระบบ เราได้เดินลงไปตามถนนที่ไม่ยั่งยืนและเป็นหายนะ

ในหลายพันปีข้างหน้า โรคนี้จะคืบหน้า โดยความคิดอ่านแบบการครอบครองเป็นอาณานิคมและจักวรรดินิยมจะกลืนกินโลกเกือบหมด แน่นอนว่าด้วยความช่วยเหลือของนักสอนศาสนา และนักโฆษณาชวนเชื่อ ที่พยายามจะยืนยัน “ชนหมู่มาก” และ “คนป่าเถื่อน” ว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง กลุ่มคนหนึ่งถูกบังคับให้ต่อต้านอีกกลุ่มคนหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของผู้ครองอาณานิคม เมื่อคำพูดของผู้ครองอาณานิคมไม่สร้างความพอใจ ดาบก็อยู่ไม่ไกลและมาพร้อมกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในขณะที่การแบ่งแยกชนชั้นแกร่งกล้ามากขึ้น ก็นำไปสู่คนที่มี และคนที่ไม่มี ผู้รับและผู้ให้ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง กำแพงถูกก่อขึ้น นี่เป็นสิ่งที่พวกเราได้รับการบอกว่าเกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่ผู้คนส่วนมากรู้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และมีผู้ที่ต่อสู้กับสิ่งนี้มาเสมอมา

สงครามต่อผู้หญิง สงครามต่อคนจน สงครามต่อชนพื้นเมืองและประชาชนที่ต้องพึ่งพาที่ดิน และสงครามต่อป่าและสิ่งมีชีวิตในป่านั้น เชื่อมโยงถึงกัน ในสายตาของอารยธรรม สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นสินค้า นั่นคือ เป็นสิ่งของที่ต้องได้รับการอ้างสิทธิ์ ทำลายมาใช้ และ ดัดแปลง เพื่ออำนาจและการควบคุม สิ่งทั้งหมดนี้ถูกมองว่าเป็นทรัพยากร และเมื่อไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไปสำหรับโครงสร้างทางอำนาจ ก็ถูกทิ้งสู่พื้นที่ทิ้งขยะของสังคม ระบบความคิดแบบมนุษย์เป็นผู้ปกครอง เป็นระบบที่ควบคุมการตัดสินใจอันแน่วแน่ด้วยตัวเอง และความยั่งยืน เป็นระบบแห่งเหตุผลเหนือสัญชาตญาณและอานารยะ และ เป็นระเบียบแบบแผนเหนืออิสรภาพและการไร้ความเชื่อง การปกครองแบบมนุษย์เป็นผู้ปกครองเป็นการยัดเยียดความตาย แทนที่จะเป็นการเฉลิมฉลองชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจของการปกครองแบบมนุษย์เป็นผู้ปกครองและอารยธรรม และเป็นเวลาหลายพันปีที่ทั้ง 2 สิ่งนี้ได้กำหนดประสบการณ์มนุษย์ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสถาบันไปจนถึงระดับบุคคล ในขณะที่ 2 สิ่งนี้ได้สวาปามชีวิต

กระบวนการสร้างอารยธรรมถูกขัดเกลาและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ระบบทุนนิยมกลายเป็นวิธีการดำเนินการของมัน และเป็นตัวตัดสินการแผ่ขยายการครอบงำ และตัดสินสิ่งที่จำเป็นต้องถูกพิชิต โลกทั้งใบถูกสร้างแผนที่ และที่ดินถูกแบ่งกั้น รัฐชาติในที่สุดได้กลายเป็นการรวมกลุ่มทางสังคมที่ถูกเสนอ และมีขึ้นเพื่อดำเนินการตามคุณค่าและเป้าหมายของผู้คนจำนวนมากยิ่งนัก ซึ่งแน่นอนว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของผู้ที่ควบคุม โฆษณาชวนเชื่อโดยรัฐชาติ และโดยโบสถ์ที่ในปัจจุบันมีอำนาจน้อยลง ได้เริ่มเข้าแทนที่พลังอันป่าเถื่อนบางประเภท (แน่นอนว่าไม่ใช่ส่วนมาก) ด้วยการกระทำอันดีงามอย่างผิวเผินและแนวคิด เช่น ความเป็นพลเมืองและประชาธิปไตย ในขณะที่รุ่งอรุณของสมัยใหม่คืบคลานเข้ามา สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเจ็บป่วยลงอย่างจริงแท้

ตลอดการพัฒนาที่ผ่านมาทั้งหมด เทคโนโลยีมีบทบาทแผ่ขยายไม่สิ้นสุดอยู่เสมอ แท้จริงแล้วความก้าวหน้าของอารยธรรมเกี่ยวข้องและถูกกำหนดโดยตรง โดยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพ และมีนวัตกรรมมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยากที่จะบอกว่าอารยธรรมผลักดันเทคโนโลยี หรือตรงกันข้าม เทคโนโลยีเหมือนอารยธรรมตรงที่สามารถมองได้ว่าเป็นกระบวนการหรือระบบอันซับซ้อน มากกว่าเป็นรูปแบบทางกายภาพ โดยธรรมชาติมันเกี่ยวข้องกับการแบ่งส่วนแรงงาน การดึงทรัพยากรมาใช้ และ การหาประโยชน์โดยอำนาจ (ผู้ที่มีเทคโนโลยี)

การเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีและผลของมันมักจะเป็นความจริงแห่งความเหินห่าง การมีตัวกลาง และ ประมวลผลอย่างหนักอึ้ง ไม่เลย เทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่เป็นกลาง คุณค่าและเป้าหมายของผู้ที่ผลิตและควบคุมเทคโนโลยีมักจะฝังอยู่ในตัวเทคโนโลยี เทคโนโลยีแตกต่างจากเครื่องมือง่ายๆ ตรงที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการที่ใหญ่กว่า ซึ่งเหมือนโรคติดต่อ และถูกขับเคลื่อนให้เดินหน้าด้วยแรงขับเคลื่อนของตัวมันเอง ระบบเทคโนโลยีนี้ก้าวหน้าอยู่เสมอ และจำเป็นต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อสนับสนุน เติมเชื้อเพลิง ดำรงรักษา และขายตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา

ส่วนประกอบหลักของโครงสร้างทุนนิยม-เทคโนโลยีสมัยใหม่ คือ สังคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นระบบการผลิตที่ใช้เครื่องจักร ที่ถูกสร้างขึ้นบนอำนาจที่รวมอยู่ที่ศูนย์กลาง และการหาประโยชน์จากประชาชนและธรรมชาติ สังคมอุตสาหกรรมไม่สามารถตั้งอยู่ได้โดยปราศจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำลายสิ่งแวดล้อม และ จักวรรดินิยม เพื่อดำรงไว้ซึ่งสังคมอุตสาหกรรม สิ่งที่ได้รับการยอมรับและมองว่าจำเป็น คือ การบีบบังคับ การขับไล่ออกจากที่ดิน การบังคับใช้แรงงาน การทำลายวัฒนธรรม การปรับเข้ากันของลักษณะทางสังคม ความพินาศของระบบนิเวศ และ การค้าโลก การทำชีวิตให้เป็นมาตรฐานเดียวกันของสังคมอุตสาหกรรมนั้น ทำให้ชีวิตเป็นสิ่งของ และทำให้ชีวิตเป็นสินค้า นั่นคือ มองว่าทุกชีวิตเป็นไปได้ที่จะเป็นทรัพยากร เทคโนโลยีและสังคมอุตสาหกรรมได้เปิดประตูให้กับการทำชีวิตให้อยู่ในขอบเขตความควบคุมของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของอารยธรรม หรือ ชีวิตยุคใหม่

เราไม่สามารถปฏิรูปอารยธรรม ทำให้มีสีเขียวขึ้น หรือ ทำให้เป็นธรรมมากขึ้น มันเน่าจนถึงแกนกลางแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีอุดมคติ ศีลธรรม การยึดมั่นเข้มงวดในระบบความเชื่อ หรือ องค์กรที่ดีขึ้น มากขึ้นไปอีก เพื่อกอบกู้ชีวิตเรา

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

Love, Compassion, Giving, Altruism

ความรัก ความเมตตา การให้ การเห็นแก่ชีวิตอื่นเป็นที่ตั้ง การหาความสุขจากความเพลิดเพลินในโลกขณะที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นสิ่งสำคัญอย่างเดียวไม่ใช่หรือ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

จัดการกับความโกรธ

ถ้ามีใครมาทำร้ายเราทางจิตใจ แล้วเราขุ่นเคือง เขาก็แพ้ เราก็แพ้ เพราะจิตใจลุกเป็นไฟกันทั้งคู่ ถ้าเราไม่ขุ่นเคือง เขาแพ้ เราชนะ แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้ใจเราลุกเป็นไฟล่ะ ก็คงอยู่ที่ความคิด เราต้องดูว่าเราทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า แล้วก็บอกตัวเองว่าขอโทษและอย่าทำอีก ถ้าเราเย็นเป็นน้ำเย็นพอเราก็จะบอกกับตัวเองว่าเราไม่มีวันทำใครเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มทำให้เจ็บก่อน หรือ แก้แค้น เราจะไม่ทำให้ใครเจ็บก่อน และแก้แค้นใคร แม้ว่าใครจะทำไม่ดีกับเรารุนแรงเพียงใด เราให้อภัย อดทนกับความร้าย ให้ความรักกับคนที่ไม่ให้อภัยเรา และสงสารเขาที่จิตใจรุ่มร้อน และอวยพรให้เขาได้พบความสุขทางใจ แล้วการณ์ก็จะกลับเป็นว่า จิตใจเรามีแต่ความรัก (ความสงสาร) แทนที่จะเป็นความเจ็บช้ำ และเขากลับจะเป็นคนที่เจ็บช้ำอยู่แต่ฝ่ายเดียว